เมื่อเด็กเป็นอีสุกอีใส ผู้ปกครองควรทำอย่างไร?
อีสุกอีใส (chickenpox) เกิดจากเชื้อไวรัส
วาริเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus: VZV)
ผู้ป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1–2 วันก่อนผื่นขึ้นจนกว่าตุ่มทั้งหมดจะแห้งตกสะเก็ด
ในเด็กที่เคยรับวัคซีนแล้ว ผื่นอาจไม่ตกสะเก็ดชัด ให้ถือว่า “ยังแพร่เชื้อ” จนกว่าจะไม่มีผื่นขึ้นใหม่อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ระยะฟักตัวเฉลี่ย 14–16 วัน (ช่วง 10–21 วัน) หลังสัมผัสเชื้อ
อาการที่พบบ่อยในเด็ก
- อาการเริ่มด้วยไข้ ไอเล็กน้อย อ่อนเพลีย
มีผื่นขึ้นเป็นระลอกจาก “จุดแดง → ตุ่มนูน → ตุ่มน้ำ → สะเก็ด” กระจายตั้งแต่หนังศีรษะ ลำตัว ไปจนถึงแขนขา เด็กมักคันมาก
โรคมักหายภายใน 4–7 วันหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
ถึงแม้เด็กส่วนใหญ่จะหายเอง แต่อีสุกอีใสอาจรุนแรงได้ โดยเฉพาะในทารกเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ/สมองอักเสบ และภาวะเสียการทรงตัวจากซีรีเบลลัม (cerebellar ataxia ประมาณ 1 ต่อ 4,000 เคสในเด็กที่ยังไม่เคยรับวัคซีน)
เมื่อไรควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
- ไข้สูงมาก/อาการทรุดเร็ว ซึม ไม่ดื่มน้ำ อาเจียนมาก หรือมีอาการขาดน้ำ
หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ไอมาก
ผิวหนังบริเวณรอบตุ่มแดงร้อน กดเจ็บ หรือปวดมาก (เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน)
เด็กเล็กมาก (<3 เดือน), เด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน, ผู้ที่กำลังรับสเตียรอยด์/ยากดภูมิ, หรือสตรีมีครรภ์ในบ้านสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย (ควรติดต่อแพทย์โดยเร็ว)
การวินิจฉัย
ส่วนใหญ่แพทย์วินิจฉัยจากอาการและลักษณะผื่น
แต่ในรายที่ผื่นไม่ชัด (เช่น เด็กที่เคยรับวัคซีน) ควรยืนยันด้วยการตรวจ PCR จากตัวอย่างตุ่มน้ำ/สะเก็ด ซึ่งไวและแม่นยำที่สุด
แนวทางเฝ้าระวังของ CDC แนะนำให้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการบ่อยขึ้น เพราะโรคลดลงจากการฉีดวัคซีนและอาการแบบ “breakthrough” มักไม่จำเพาะชัด
การดูแลรักษาที่บ้าน (กรณีเด็กสุขภาพโดยรวมแข็งแรง)
- ให้เด็กพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ใส่เสื้อผ้าบาง ๆ อาบน้ำได้ตามปกติ (ช่วยลดคัน)
ลดไข้/ปวด: “พาราเซตามอล” ปลอดภัยกว่า ไม่ควรให้ “แอสไพริน” เพราะสัมพันธ์กับภาวะ Reye’s syndrome และ ไม่ควรใช้ไอบูโพรเฟน เว้นแต่แพทย์สั่ง เนื่องจากมีรายงานสัมพันธ์กับการติดเชื้อผิวหนังรุนแรงในอีสุกอีใส
ลดคัน: ครีม/เจลเย็น อาบน้ำอุ่นค่อนไปทางเย็น ตัดเล็บให้สั้น ใส่ถุงเท้าที่มือเวลากลางคืน
พิจารณายากลุ่มแอนติฮิสตามีนตามคำแนะนำเภสัชกร/แพทย์
หลีกเลี่ยงการแกะเกาและการทายาฆ่าเชื้อหรือยาสเตียรอยด์เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ (เสี่ยงผิวหนังระคาย/ติดเชื้อเพิ่ม)
หมายเหตุ: ถ้าเด็กมีโรคผิวหนังเรื้อรัง (เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง) ควรปรึกษากุมารแพทย์เรื่องการทายาอย่างเหมาะสม
ยาต้านไวรัสจำเป็นเมื่อไร
โดยทั่วไป เด็กสุขภาพดีส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส
แต่ในบางกลุ่ม เช่น เด็กโต/วัยรุ่น (≥12 ปี), ผู้ที่มีโรคผิวหนัง หรือโรคปอดเรื้อรัง, ผู้ที่ต้องใช้แอสไพรินระยะยาว หรือมีความเสี่ยงโรครุนแรง
แพทย์อาจพิจารณา “อะไซโคลเวียร์” หากเริ่มภายใน ~24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการ (ดุลยพินิจแพทย์) ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องมักต้องรับยาต้านไวรัสตามแนวทางเฉพาะของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การแยกตัวและการกลับไปโรงเรียน
- ให้เด็กหยุดโรงเรียน ไม่ไปที่ชุมชน จนกว่าตุ่มทั้งหมดจะแห้งตกสะเก็ด ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 5 วันนับจากวันที่ผื่นแรกขึ้น
สำหรับเด็กที่เคยฉีดวัคซีนแล้วและมีผื่นแบบไม่ตกสะเก็ด ให้รอจน “ไม่มีผื่นใหม่ขึ้นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง” ก่อนกลับไปโรงเรียน
วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ตารางมาตรฐาน (สากล/ACIP):
- เข็มที่ 1 อายุ 12–15 เดือน
เข็มที่ 2 อายุ 4–6 ปี ประสิทธิผลของ 2 เข็มป้องกันโรคได้ราว ~90% และลดความรุนแรงได้อย่างมาก
โดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยแนะนำฉีด 2 เข็ม เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี และกระตุ้นช่วง 2½–4 ปี (เด็ก <12 ปี ช่วงห่างระหว่างเข็มอย่างน้อย 3 เดือน) ควรสอบถามกุมารแพทย์/สถานพยาบาลของท่าน
คำถามที่พบบ่อย
Q: อีสุกอีใสต้องกินยาปฏิชีวนะไหม?
A: อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เว้นแต่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่แพทย์ยืนยัน
Q: อาบน้ำได้ไหม?
A: อาบน้ำได้ หรือเช็ดตัวเบาๆได้
Q: เด็กที่ฉีดวัคซีนแล้วจะยังเป็นได้หรือไม่?
A: ยังเป็นได้ แต่โดยมากอาการจะเบา ผื่นน้อย ไข้ต่ำ ระยะป่วยสั้น (breakthrough varicella) จึงยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการรับวัคซีน “ครบ 2 เข็ม” และการยืนยันด้วย PCR หากอาการไม่ชัด
ข้อควรรู้สำหรับผู้ปกครอง
- โรคนี้ติดต่อได้ 1–2 วันก่อนผื่นขึ้น จนกว่าตุ่มจะแห้งตกสะเก็ดทั้งหมด (หรือไม่มีผื่นใหม่ ≥24 ชม. ในเด็กที่เคยรับวัคซีน)
ดูแลเด็กที่บ้าน ถ้าเด็กมีไข้สามารถรับประทาน พาราเซตามอลได้ (×ห้ามแอสไพริน, หลีกเลี่ยงไอบูโพรเฟนเว้นแพทย์สั่ง)
ลดคันด้วยวิธีทำให้ผิวเย็น/แอนติฮิสตามีน; ตัดเล็บสั้น
พบแพทย์ด่วนถ้าไข้สูง/ซึม/ดื่มไม่ได้/หายใจลำบาก/ผิวหนังแดงร้อนเจ็บ/กลุ่มเสี่ยงพิเศษ
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้ปกครอง หากลูกของท่านมีอาการน่ากังวลหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะรายทันที