หลังจากคุณหมอประเมินอาการของสิวว่าอยู่ในระยะใด มีแนวทางการรักษาในแต่ละระยะแตกต่างกัน
คุณหมอจะลำดับขั้นตอนการดูแลผิวหน้า การใช้ยาและการเลือกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดียิ่งขึ้น
1. ยาทา

- ลดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีทั้งทาก่อนล้างหน้า และหลังล้างหน้า ปัจจุบันเริ่มมีรายงานถึงการดื้อยาทามากขึ้น บางท่านจะรายงานเอง ท่ายังไงก้อไม่ยุบ
-
ยาลดการเกิดอุดตันของสิว เช่น พวก resorcinol, อนุพันธ์กรดวิตะมินเอ
- ยาทาแก้รอยสิว มีมากมายทั้งที่มีวิจัยจริง เช่น สารลดการทำงานของเม็ดสีต่างๆ บางชนิดเร็ว แต่ควรอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ เพราะทำให้เกิดภาวะตกค้างในผิวได้ เช่น ไฮโดรควิโนน รวมถึงพวกยาผีบอกที่ว่าแก้รอยหาย คือไม่รับรองผล
-
ยากระตุ้นการสร้างคลอลาเจน เช่น กลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ กรดผลไม้ แต่เนื่องจากมีความเป็นกรด จึงควรเลือกที่เหมาะกับผิว ถ้าทาแล้วแสบ แดง ลอก ควรหยุดทันที
2.ยาทาน

- กลุ่มยาลดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์ต้องเลือกยาที่เหมาะกับเชื้อในขณะนั้น ใช้เมื่อมีสิวมาก ที่การทายาเอาไม่อยู่ หรือทายากว่าจะได้ผลก็นานแสนนาน สู้รักษาเห็นผล ปลอดภัย ระยะเวลากินสั้นที่สุด นี่คือหัวใจของการรักษา
- ยาลดการทำงานของต่อมไขมัน ตัวนี้เหมาะกับผู้ที่ควบคุมการเกิดสิวไม่ได้ และไม่ใช้กับผู้ที่ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีการทำงานของตับไม่ปกติ ทุกครั้งมีโรคประจำตัว หรือกินยาอะไรประจำ จึงควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง เพื่อการให้ยาที่ถูกต้อง
- แร่ธาตุในธรรมชาติบางชนิด เอามาใช้ร่วมได้ แต่ไม่ใช่การรักษาหลัก เช่น ธาตุสังกะสี หรือแม้แต่ขมิ้นชัน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของสิว เพราะเคยมีคนไข้กินธาตุสังกะสีอยู่นาน นอกจากสิวไม่หายยังมีหลุมสิวแถมมาด้วย
-
แบคทีเรียตัวดี ที่เรียกกันว่า Probiotic ที่ช่วยปรับการทำงานของลำไส้ เนื่องจากมีงานวิจัยว่า บริเวณลำไส้เป็นแหล่งเกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกายอีกตำแหน่งหนึ่ง ถ้าลำไส้ทำงานไม่ปกติ หรือผนังลำไส้เป็นแผล อาจมีการสะสมของแบคทีเรียไม่ดี ที่ทำให้เกิดสิวได้ พิจารณาใช้เป็นรายๆไปนะคะ
3.ยาฉีด

เป็นสเตียรอยด์ที่มีผลเฉพาะที่ เพื่อให้สิวอักเสบยุบลง ลดอาการปวดที่สิว และลดการทำลายเนื้อเยื่อจะได้ไม่เกิดแผลเป็นมาก ขอบอกว่า ฉีดเม็ดไหนได้ผลเฉพาะเม็ดนั้น คือ บางคนไม่ชอบเข็มแต่มาตอนอักเสบเต็มหน้า ก้อทนหน่อยนะคะ