ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA = Obstructive Sleep Apnea) เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจชั่วคราวระหว่างนอนหลับ ทำให้เกิดการหยุดหายใจ ส่งผลให้คุณภาพการนอนลดลง ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
การลดน้ำหนัก ≥15–20% ช่วยอย่างไร?
ลดความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีงานวิจัยแสดงว่า การลดน้ำหนักตั้งแต่ 15%ของ BMI ทำให้ ดัชนี AHI (Apnea-Hypopnea Index) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ป่วยหลายรายอาจเข้าสู่ ภาวะทุเลาได้ (remission)
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับดีขึ้น ความดันและการทำงานของหัวใจดีขึ้นด้วย
ลดการดื้อต่ออินซูลินและเบาหวาน น้ำหนักที่ลดลงช่วยเพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน จึงลด HbA1c
คุณภาพชีวิตดีขึ้น หลับลึกขึ้น เพิ่มพลังงานในชีวิตประจำวันมากขึ้น ลดอาการง่วงนอนกลางวัน
หลักฐานสำคัญ
มีงานวิจัยการลดน้ำหนักแบบเต็มที่ (intensive lifestyle intervention) พบว่า การลดน้ำหนักเฉลี่ย 15–20% ทำให้ ความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับลดลงถึง 70% และผู้ป่วยบางส่วนเข้าสู่ภาวะทุเลา
US FDA ได้อนุมัติให้ Zepbound (tirzepatide) ใช้รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ในผู้ใหญ่ที่มีโรคอ้วน โดยร่วมกับการปรับพฤติกรรม (ธ.ค. 2024)
วิธีการลดน้ำหนักให้สำเร็จ
- ปรับอาหารแบบแคลอรีจำกัด (calorie deficit) + โปรตีนพอเพียง
เน้น ออกกำลังกายแอโรบิก + เวทเทรนนิ่ง
หาก BMI ≥30 หรือ ≥27 ร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ติดตามอาการภาวะหยุดหายใจขณะหลับ กับแพทย์เฉพาะทางการนอน โดยอาจทำ sleep study ซ้ำ
การลดน้ำหนัก ≥15–20% ไม่ได้เพียงเปลี่ยนรูปร่าง แต่ยังช่วยลดความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รวมทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และเพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างชัดเจนนะคะ

