งูสวัด (Herpes Zoster)

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus หรือ VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส

เมื่อคนเคยติดเชื้ออีสุกอีใสแล้ว ไวรัสนี้จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท (nerve ganglia) และสามารถถูกกระตุ้นให้กลับแบ่งตัวอีกครั้ง จึงทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ในภายหลัง

พบได้บ่อยในคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

ปัจจัยกระตุ้น

  • ภูมิคุ้มกันลดลง เช่น จากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน มะเร็ง HIV)
  • อายุที่มากขึ้น พบมากในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ หรือยารักษามะเร็ง
  • โรคเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคตับ

อาการของงูสวัด

เริ่มต้นด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คล้ายไฟช็อตหรือความเจ็บปวดบริเวณเส้นประสาท
ต่อมาอาจมีผื่นแดงขึ้นเป็นแนวเส้นตามแนวเส้นประสาท (dermatome) ซึ่งมักจะอยู่ข้างเดียวของร่างกาย
ผื่นจะแปรสภาพเป็นตุ่มน้ำใส จากนั้นจะแตกออกและตกสะเก็ด
อาจมีอาการร่วม เช่น ไข้ต่ำๆ เหนื่อยล้า หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

วิธีการรักษา

  1. การรักษาด้วย
    ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir ควรเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ เพื่อช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค
    ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยากลุ่ม NSAIDs
    ยาสำหรับอาการปวดปลายประสาท (Postherpetic Neuralgia) เช่น Gabapentin หรือ Pregabalin หากอาการปวดไม่ลดลงหลังผื่นหาย

  2. การดูแลแผลและผื่น
    ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือสบู่อ่อน ๆ และซับให้แห้ง
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ

  3. การพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การทำให้ผื่นหายเร็ว

  • รักษาความสะอาดผิวหนัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
  • ใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดแผลเบา ๆ วันละ 2-3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาที่มีสเตียรอยด์ โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
  • รับประทานยาต้านไวรัส ตามที่แพทย์สั่งและตรงเวลา

การป้องกัน

  1. การฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคและลดความรุนแรงของอาการ
    แนะนำในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความเสี่ยง
  2. การดูแลสุขภาพ
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยอีสุกอีใสหรือผู้ป่วยงูสวัดในระยะที่มีตุ่มน้ำ

หมายเหตุ
โรคงูสวัดไม่ใช่โรคติดต่อผ่านการหายใจ แต่หากมีการสัมผัสกับตุ่มน้ำ ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสหรือไม่ได้รับวัคซีนอาจติดเชื้อและแสดงอาการเป็นอีสุกอีใสแทน ดังนั้นการป้องกันและรักษาอย่างเหมาะสมจึงสำคัญทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง