เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus หรือ VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส
เมื่อคนเคยติดเชื้ออีสุกอีใสแล้ว ไวรัสนี้จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท (nerve ganglia) และสามารถถูกกระตุ้นให้กลับแบ่งตัวอีกครั้ง จึงทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ในภายหลัง
พบได้บ่อยในคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
อาการของงูสวัด
เริ่มต้นด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คล้ายไฟช็อตหรือความเจ็บปวดบริเวณเส้นประสาท
ต่อมาอาจมีผื่นแดงขึ้นเป็นแนวเส้นตามแนวเส้นประสาท (dermatome) ซึ่งมักจะอยู่ข้างเดียวของร่างกาย
ผื่นจะแปรสภาพเป็นตุ่มน้ำใส จากนั้นจะแตกออกและตกสะเก็ด
อาจมีอาการร่วม เช่น ไข้ต่ำๆ เหนื่อยล้า หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
วิธีการรักษา
- การรักษาด้วย
ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir ควรเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ เพื่อช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค
ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยากลุ่ม NSAIDs
ยาสำหรับอาการปวดปลายประสาท (Postherpetic Neuralgia) เช่น Gabapentin หรือ Pregabalin หากอาการปวดไม่ลดลงหลังผื่นหาย - การดูแลแผลและผื่น
ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือสบู่อ่อน ๆ และซับให้แห้ง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ - การพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การทำให้ผื่นหายเร็ว
- รักษาความสะอาดผิวหนัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
- ใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดแผลเบา ๆ วันละ 2-3 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาที่มีสเตียรอยด์ โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
- รับประทานยาต้านไวรัส ตามที่แพทย์สั่งและตรงเวลา
การป้องกัน
- การฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคและลดความรุนแรงของอาการ
แนะนำในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความเสี่ยง - การดูแลสุขภาพ
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
• พักผ่อนให้เพียงพอ
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยอีสุกอีใสหรือผู้ป่วยงูสวัดในระยะที่มีตุ่มน้ำ
หมายเหตุ
โรคงูสวัดไม่ใช่โรคติดต่อผ่านการหายใจ แต่หากมีการสัมผัสกับตุ่มน้ำ ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสหรือไม่ได้รับวัคซีนอาจติดเชื้อและแสดงอาการเป็นอีสุกอีใสแทน ดังนั้นการป้องกันและรักษาอย่างเหมาะสมจึงสำคัญทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง